แบคทีเรียและ ไวรัส
ทั้งไวรัสและแบคทีเรียทำให้เกิดการติดเชื้อ แต่ยาปฏิชีวนะจะออกฤทธิ์เฉพาะกับแบคทีเรียเท่านั้น
การติดเชื้อไวรัส
- ได้แก่ หวัด ไข้ห้วัดใหญ่ โรคครูป กล่องเสียงอักเสบ โรคหวัดลงปอด (หลอดลมอักเสบ) และอาการเจ็บคอส่วนใหญ่
- มักติดต่อกันได้ง่ายกว่าการติดเชื้อแบคทีเรีย
หากมีคนในครอบครัวป่วยเหมือนกันมากกว่าหนึ่งคน ก็มีแนวโน้มว่าจะติดเชื้อไวรัส - สามารถทำให้คนป่วยได้พอๆ กันกับการติดเชื้อแบคทีเรีย
- โดยปกติจะดีขึ้นภายใน 4-5 วัน แต่อาจใช้เวลานานถึงสามสัปดาห์จึงจะฟื้นตัวเต็มที่
- ยาปฏิชีวนะใช้ไม่ได้ผลกับการติดเชื้อไวรัส
การติดเชื้อแบคทีเรีย
- พบได้น้อยกว่าการติดเชื้อไวรัส
- ไม่แพร่กระจายจากคนหนึ่งไปสูอีกคนหนึ่งได้ง่ายเหมือนกับการติดเชื้อไวรัส
- ตัวอย่างที่พบบ่อย ได้แก่ โรคคออักเสบและโรคปอดบวมบางประเภท
- ยาปฏิชีวนะใช้ไ้ด้กับการติดเชื้อแบคทีเรียแต่ไม่จำเป็นเสมอไป
การดื้อยาปฏิชีวนะ
ใช้ยาปฏิชีวนะอย่างชาญฉลาด เพื่อจำกัดการ พัฒนาของการดื้อยาปฏิชีวนะ
การล้างมือ
การล้้งมือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหยุดการแพร่กระจายของการติดเชื้อ
ไข้
ไข้ คืออาการที่อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้นซึ่งมักเกิดจากการเจ็บป่วย ผิวหนังที่แดง ร้อน และแห้ง แม้จะอยู่ใต้รักแร้ ก็ เป็นสัญญาณของอาการไข้
อุณหภูมิของคุณหรือของบุตรหลานคุณนั้น ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่วัด
ไข้:
- ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อ
- อาจเกิดขึ้นได้จากทั้งการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
การดูแล:
- อาการไข้เป็นกลไกป้องกันที่ช่วยให้ร่างกายได้ต่อสู้กับการติดเชื้อ อาจเกิดขึ้นได้จากทั้งการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
- หากผู้ที่มีไข้ไม่สบายตัว ให้พิจารณาใช้ย้า อะเซตามิโนเฟน (acetaminophen) หรือ ไอบูโพรเฟน
(ibuprofen) (ตามคำแนะนำในบรรจุภัณฑ์ของยา) - สวมเสื้อผ้าที่มีน้ำหนักเบาให้ตัวเองหรือบุตรหลานเพื่อให้รู้สึกเย็นสบาย
แต่ไม่หนาวสั่น เนื่องจากอาการสั่นจะทำให้เกิดความร้อนมากขึ้น อยู่ในห้องที่อุณหภูมิประมาณ 20°C หรืออากาศเย็นสบาย - ดื่มน้ำเย็นเยอะๆ ให้บุตรหลานดื่มน้ำเย็นหรือรับประทานไอศกรีมแท่งทุก
ชั่วโมงเมื่อตื่นนอน
หากบุคคลไม่ว่าวัยใดมีไข้้พร้อมผื่นคันและอยู่ในพื้นที่ที่มีโรคหัระบาด โปรดติดต่อ Health Link (กด 811 ใน Alberta) เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด
หวัดและน้ำมูกไหล
โรคหวัดเกิดจากไวรัส มีไวรัสประมาณ 200 ชนิดที่ทำให้เกิดโรคหวัด เด็กอาจเป็นหวัดได้ 8–10 ครั้งต่อปี ผู้ใหญ่จะป่วยเป็นหวัดน้อยลงเนื่องจากร่างกายสร้างภูมิ คุ้มกันต่อไวรัสบางชนิดได้ ยาปฏิชีวนะไม่สามารถต้านเชื้้อไวรัส โรคหวัดได้
อาการ:
- ในระยะแรกจะมีอาการปวดศีรษะ มีไข้ และน้ำตาไหล ตามมาด้วยอาการน้ำมูกไหล เจ็บคอ จาม และไอ
- น้ำมูกจะใสในช่วงแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะกลายเป็นสีเหลืองหรือเขียวข้น
การป้องกัน:
- ล้างมือให้สะอาดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสที่ทำให้เกิดหวัด
- สอนบุตรหลานของคุณให้ล้างมือ
การดูแล:
- ดื่มน้ำปริมาณมากที่อุณหภูมิใดก็ได้ที่ทำให้รู้สึกสบายที่สุด
- หากผู้ที่เป็นหวัดไม่สบายตัว ให้พิจารณาใช้ยาอะเซตามิโนเฟน (acetaminophen) หรือไอบูโพรเฟน (ibuprofen) (ตามคำแนะนำในบรรจุภัณฑ์ของยา)
- หากคุณเป็นหวัดหรือต้องดูแลผู้ที่เป็นหวัด ให้ล้างมือบ่อยๆ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
- ยาแก้คัดจมูกหรือยาน้ำแก้ไออาจช่วยบรรเทาอาการได้แต่จะไม่ทำให้ระยะเวลาของการเป็นหวัดสั้นลง
หมายเหตุ: อย่าให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้แก่ทารกหรือเด็กอายุต่ำกว่าหกปี
หมายเหตุ: ยาแก้คัดจมูกและยาน้ำแก้ไออาจมีส่วนผสมของยาลดไข้ร่วมด้วย อ่านฉลากอย่างละเอียด และตรวจสอบกับเภสัชกรหรือแพทย์เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาเกินขนาด
ใช้น้ำเกลือหยดจมูก (ซาลีน) เพื่อรักษาอาการคัดจมูก โดยเฉพาะสำหรับทารกและเด็กเล็ก ใช้น้ำเกลือแบบหยดหรือแบบสเปรย์ที่วางขายโดยทั่วไปหรือ ทำขึ้นเองก็ได้.
การทำน้ำเกลือหยดจมูก
ส่นผสม:
- น้ำกลั่น 1 ถ้วย (240 มล.) (หากใช้น้ำประปา ให้ต้ม้เป็นเวลา 1 นาทีเพื่อฆ่าเชื้อก่อน จากนั้นรอให้เย็นลงจนอุ่นพอเหมาะ)
- เกลือแกง ½ ช้อนชา (2.5 กรัม)
- เบกกิ้งโซดา ½ ช้อนชา (2.5 กรัม)
ละลายส่วนผสมทั้งหมดแล้วใส่ลงในขวดสะอาดที่มีดรอปเปอร์ (หยอดตา) หรือใส่ในขวดบีบ (มีจำหน่ายที่ร้านขายยา) สามารถใช้ไซริงค์บอลได้ เช่นกัน ผสมน้ำเกลือใหม่ทุกๆ 3 วัน
วิธีใช้:
- นั่งลงแล้วเอียงศีรษะไปด้านหลังเล็กน้อย อย่านอนราบ สอดปลายดรอปเปอร์
ไซริงค์บอล หรือขวดบีบเข้าไปในรูจมูกหนึ่งข้างเพียงเล็กน้อย ค่อยๆ หยดหรือพ่นน้ำเกลือ 2-3 หยดลงในรูจมูก ทำซ้ำกับรูจมูกอีกข้าง เช็ดดรอปเปอร์ด้วย
ผ้าสะอาดหรือกระดาษชำระหลังการใช้งานทุุกครั้ง
ไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่ เกิดจากไวรัส ผู้ใหญ่ที่เป็นไข้หวัดใหญ่สามารถแพร่เชื้อไวรัสไปยังผู้อื่นได้ในเวลา 3-5 วันหลังจากเริ่มมีอาการ เด็กที่เป็นไข้หวัดใหญ่สามารถแพร่เชื้อไวรัสไปยังผู้อื่นได้นานถึง 7 วัน
อาการ:
- มีไข้/หนาวสั่น
- ปวดศีรษะ
- ปวดกล้ามเนื้อและตามลำตั
- รู้สึกเหนื่อย
- เจ็บคอ
- น้ำมูกไหลหรือคัดจมูก/จา
- ไอ
การป้องกัน:
- รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปี
- ล้างมือให้สะอาดโดยเฉพาะหลังจากอยู่ใกล้ผู้ที่ป่วย สอนบุตรหลานของคุณเรื่องการล้างมือ
- ปิดจมูกและปากเมื่อจามหรือไอ
- สอนบุตรหลานเกี่ยวกัมารยาทในการไอจาม
การดูแล:
- ดื่มของเหลวเยอะๆ เช่น น้ำเปล่า
- ให้คุณหรือบุตรหลานของคุณพักผ่อนให้เพียงพอ อยู่บ้านหรือให้บุตรหลานอยู่บ้านในช่วงสองสามวันแรกหลังมีอาการ เพื่อพักผ่อนและป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่น
- หากเป็นไข้ปวดศีรษะ หรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ให้พิจารณาใช้ยาอะเซตามิโนเฟน (acetaminophen) หรือไอบูโพรเฟน (ibuprofen) (ตามคำแนะนำในบรรจุุภัณฑ์ของยา)
ฤดูไข้หวัดใหญ่มักเริ่มในเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคมของทุกปี และสิ้นสุดในเดือนเมษายนหรือพฤษภาคม บางครั้งไข้หวัดใหญ่อาจทำให้เกิดโรคปอดบวมได้
การติดเชื้อ ไซนัส
โพรงจมูก (ไซนัส) เป็นช่องว่างที่เต็มไปด้วยอากาศที่อยู่รอบๆ จมูกและดวงตา ไซนัสอักเสบเกิดขึ้นเมื่อมีของเหลวสะสมอยู่ในโพรงจมูก
ไซนัสอักเสบมักเกิดขึ้นหลังเป็นหวัด แต่หวัดส่วนใหญ่ไม่ทำให้เกิดไซนัสอักเสบจากแบคทีเรีย อาการของโรคไซนัสอักเสบจะรุนแรงกว่าและมีอาการนานกว่าไข้หวัด
หมายเหตุ: หากมีอาการร่วมกับการเจ็บคอและ/หรือไอ โปรดดูที่ โรคหวัด และ/หรือ ไข้หวัดใหญ่.
อาการ:
ปวดหรือแน่นบริเวณใบหน้า ปวดศีรษะ ปวดฟัน รู้สึกเหนื่อย ไอ มีไข้
การอุดตันจมูกด้วยน้ำมูกสีเหลืองหรือสีเขียวเป็นเวลานานกว่า 10 วันเป็นสัญญาณว่าคุณอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะ
การดูแล:
- หากเจ็บปวดและเป็นไข้ให้พิจารณาใช้ยาอะเซตามิโนเฟน (acetaminophen) หรือไอบูโพรเฟน (ibuprofen) (ตามคำแนะนำในบรรจุภัณฑ์ของยา)
- สำหรับเด็ก ให้ใช้น้ำเกลือแบบหยดหรือแบบสเปรย์เพื่อช่วยบรรเทาอาการ
น้ำมูกไหล (ดูสูตรสำหรับโรคหวัด/น้ำมูกไหลในหน้า 9); สำหรับผู้ใหญ่การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือจะมีประสิทธิภาพมากกว่า. - ยาแก้คัดจมูกอาจช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกได้แต่จะไม่ทำให้ระยะเวลาของการเป็นหวัดสั้นลง
หมายเหตุ: อย่าให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้แก่ทารกหรือเด็กอายุต่ำกว่าหกปี
หมายเหตุ: ยาแก้คัดจมูกอาจมีส่วนผสมของยาลดไข้ร่วมด้วย อ่านฉลากอย่างละเอียด และตรวจสอบกับเภสัชกรหรือแพทย์ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาเกินขนาด
ทั้งแบคทีเรียและไวรัสสามารถทำให้เกิดไซนัสอักเสบได้
(ไวรัสพับบ่อยกว่าถึง 200 เท่า)
เจ็บคอ
อาการเจ็บคอมักมาพร้อมกับอาการหวัด อาการเจ็บคอส่วนใหญ่เกิดจากไวรัส ยาปฏิชีวนะไม่สามารถรักษาอาการเจ็บคอที่เกิดจากไวรัสได้
อาการเจ็บคอบางชนิดอาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สเตรปโตคอคคัส
(Streptococcus) หากมีอาการเจ็บคอร่วมกับมีน้ำมูกไหล ไอ เสียงแหบ ตาแดง หรือท้องเสีย อาจเกิดจากไวรัสไม่ใช่โรคคออักเสบ (strep throat)
แพทย์ไม่สามารถบอกได้ว่าอาการเจ็บคอเป็นโรคคออักเสบหรือไม่จากการมองดูแค่ภายนอก
- ถ้าอาการเจ็บคอมาพร้อมกับอาการหวัดก็เป็นไปได้มากกว่าจะเกิดจากไวรัส และไม่จำเป็นต้องเก็บตัวอย่างจากช่องคอ
- หากคุณไม่มีอาการหวัด แพทย์อาจเก็บตัวอย่างจากช่องคอเพื่อดูว่าอาการเจ็บคอเกิดจากแบคทีเรียหรือไวรัส โดยปกติจะทราบผลการทดสอบภายใน 48 ชั่วโมง
- หากผลการทดสอบเป็นลบ ยาปฏิชีวนะจะใช้ไม่ได้ผลเนื่องจากอาการเจ็บคอดังกล่าวน่าจะเกิดจากไวรัส
- หากผลการทดสอบเป็นบวก แพทย์อาจตัดสินใจสั่งยาปฏิชีวนะ
- สมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจเว้นแต่จะป่วย
การดูแล:
- ดื่มของเหลวเยอะๆ เช่น น้ำเปล่า
- สำหรับอาการเจ็บคอและมีไข้ ให้พิจารณาใช้ยาอะเซตามิโนเฟน (acetaminophen) หรือไอบูโพรเฟน (ibuprofen) (ตามคำแนะนำในบรรจุภัณฑ์ของยา)
- สำหรับเด็กอายุ 6 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่ ยาอมแก้เจ็บคอธรรมดาอาจบรรเทาอาการได้
หมายเหตุ: เด็กเล็กไม่ควรได้รับยาอมแก้เจ็บคอเนื่องจากอาจเสี่ยงต่อการสำลัก - สำหรับเด็กโตและผู้ใหญ่ การกลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ จะช่วยให้อาการเจ็บคอดีขึ้น ผสมเกลือแกง ½ ช้อนชากับน้ำอุ่น 1 ถ้วย (250 มล.) กลั้วคอให้สะอาดเป็นเวลา 10 วินาที อาจทำเช่นนี้ 4-5 ครั้งต่อวัน
- คุณหรือบุตรหลานของคุณสามารถกลับไปทำกิจกรรมตามปกติได้เมื่อรู้สึกดีขึ้น
ปวดหู
ท่อยูสเตเชียน (Eustachian tube) เชื่อมระหว่างหูชั้นกลางและด้านหลังของลำคอ ในเด็กเล็ก เนื่องจากท่อนี้แคบจึงอาจอุดตันได้ โดยเฉพาะเมื่อเป็นหวัด ซึ่งการอุดตันนี้อาจนำไปสู่การติดเชื้อได้
โปรดจำไว้ว่า 70-80% ของเด็กที่ติดเชื้อที่หูจะดีขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ การติดเชื้อที่หูบางชนิดเกิดจากเชื้อไวรัส และบางชนิดเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย การเฝ้าระวังเป็นแนวทางที่สมเหตุสมผลที่แพทย์ของคุณอาจแนะนำ
อาการ:
- ไข้
- เจ็บปวดที่หู
- ระคายเคือง
การป้องกัน:
- ล้างมือบ่อยๆ และสอนบุตรหลานของคุณเรื่องการล้างมือ เนื่องจากการติดเชื้อที่หูส่วนใหญ่เกิดขึ้นหลังเป็นหวัด
- หลีกเลี่ยงการให้บุตรหลานของคุณสัมผัสควันบุหรี่
- อย่าให้บุตรหลานดื่มน้ำจากขวดขณะนอนราบ
การดูแล:
- หากเจ็บปวดและเป็นไข้ให้พิจารณาใช้ยาอะเซตามิโนเฟน (acetaminophen) หรือไอบูโพรเฟน (ibuprofen) (ตามคำแนะนำในบรรจุภัณฑ์ของยา)
- ประคบผ้าอุ่นไว้ด้านนอกหู
- ยาแก้แพ้และยาแก้คัดจมูกไม่ได้ช่วยบรรเทาอาการติดเชื้อในหู
- ในบางกรณี แพทย์อาจสั่งยาปฏิชีวนะหลังจากการตรวจหูของเด็ก
- เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการดื้อยาปฏิชีวนะ จึงไม่แนะนำให้รับประทานยาปฏิชีวนะติดต่อกันเป็นเวลานานเพื่อป้องกันการติดเชื้อในหู
ไอ
อาการไอในผู้ใหญ่และเด็กส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจ (ดูแผนภูมิด้านล่าง) ควรใช้ยาปฏิชีวนะสำหรับอาการไอเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคปอดบวมเนื่องจากแบคทีเรีย หรือผลการตรวจเป็นบวกสำหรับโรคไอกรน (pertussis)
อาการ:
- มีไข้ ไอ และเจ็บหน้าอก
- ไอเป็นเสมหะ ซึ่งอาจเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว นี่ไม่ได้หมายความว่าเป็นการติด
เชื้อแบคทีเรีย - อาจมีอาการหายใจมีเสียงหวีด
หมายเหตุ: ผู้ป่วยโรคหลอดลมอักเสบจากไวรัส 45% ยังคงมีอาการไอหลัง
จากผ่านไป 2 สัปดาห์ 25% ยังคงมีอาการไอหลังจากผ่านไป 3 สัปดาห์
โรค | บริเวณ | กลุ่มอายุ | สาเหตุ |
โรคกล่องเสียงอักเสบ | เส้นเสียง | เด็กโต / ผู้ใหญ่ | ไวรัส |
โรคครูป | เส้นเสียงและหลอดลมใหญ่ | เด็กเล็ก | ไวรัส |
โรคหลอดลมอักเสบ1 | หลอดลมเล็ก | เด็กโต / ผู้ใหญ่ | ไวรัส |
โรคหลอดลมอักเสบ | แขนงหลอดลม (เล็ก) | ทารก | ไวรัส |
โรคปอดอักเสบ | ถุงลม | ทุกช่วงอายุ | แบคทีเรียหรือไวรสั |
ไอกรน | จมูกถึงปอด | เป็นได้ทุกวัย | แบคทีเรีย |
1ผู้ป่วยที่เป็นโรคปอดเรื้อรังระยะยาวบางครั้งอาจติดเชื้อแบคทีเรียเมื่อเป็นโรคหลอดลมอักเสบ
การดูแล:
- ดื่มของเหลวเยอะๆ เช่นน้ำเปล่า
- ยาระงับอาการไออาจบรรเทาอาการในเด็กโตและผู้ใหญ่ได้
หมายเหตุ: อย่าให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้แก่ทารกหรือเด็กอายุต่ำกว่าหกปี
หมายเหตุ: ยาน้ำแก้ไออาจมีส่วนประกอบของยาลดไข้ร่วมด้วย อ่านฉลากอย่างละเอียด และตรวจสอบกับเภสัชกรหรือแพทย์เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาเกินขนาด - ยาอมแก้ไอหรือยาอมธรรมดาอาจบรรเทาอาการในเด็กโตและผู้ใหญ่ได้ หลีกเลี่ยงยาอมแก้ไอแบบต้านเชื้อแบคทีเรียเพราะอาจทำให้ดื้อยาปฏิชีวนะได้
หมายเหตุ: ไม่ควรให้ยาอมแก้ไอแก่เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีเนื่องจากอาจเสี่ยงต่อการสำลัก - แนะนำให้เอ็กซเรย์ทรวงอกเพื่อวินิจฉัยโรคปอดบวมจากแบคทีเรีย หลังจากวินิจฉัยโรค จึงจะมีการสั่งยาปฏิชีวนะ
อาการร้ายแรงที่ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
อาการเหล่านี้ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์หรือผู้ประกอบวิชาชีพพยาบาล
ไข้:
- หากเด็กอายุต่ำกว่า 3 เดือนมีไข้ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที
- หากเด็กไม่ว่าวัยใดมีไข้และดูไม่สบาย ควรรีบไป
พบแพทย์ทันที - หากเด็กไม่ว่าวัยใดมีไข้นานเกิน 3 วัน ควรรีบพาไปพบแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมง
ปวดหู:
พาไปพบแพทย์หากเด็กมีอาการปวดหูร่วมกับอาการดังนี้:
- มีไข้สูงร่วมด้วย หรือ
- ดูเหมือนไม่สบาย หรือ
- มีรอยแดงหรือบวมหลังใบหู หรือ
- ใบหูถูกดันไปข้างหน้า หรือ
- อาการปวดหูยังคงรุนแรงนานกว่า 24 ชั่วโมงแม้จะใช้ยาอะเซตามิโนเฟน/ ไอบูโพรเฟน ไปแล้วก็ตาม
ผู้ใหญ่ที่เป็นไข้หรือเจ็บป่วยอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์หรืผู้ประกอบวิชาชีพพยาบาลหากอาการแย่ลงหรือรุนแรงผิดปกติ
ใน Alberta คุณสามารถโทรไปที่ Health Link (ที่ 811) หากคุณต้องการคำแนะนำหรือไม่แน่ใจเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด
หากต้องการคำแนะนำที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพในเด็ก โปรดไปที่ ahs.ca/heal, ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลสาธารณะที่ดูแลโดย Stollery Children’s Hospital
สัญญาณของ ภาวะฉุกเฉิน ด้านสุขภาพ
หากคุณหรือคนที่คุณดูแลอยู่แสดงอาการเหล่านี้โปรดไปพบแพทย์ทันที
ไข้
ไปพบแพทย์ทันทีหาก:
ผู้ที่เป็นไข้ทุกช่วงวัยมีอาการหงุดหงิดหรือเซื่องซึมมาก (ตื่นยากหรือตื่นตัวยาก) อาเจียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าและอาจมีอาการคอแข็งหรือมีผื่นรุนแรงที่่ไม่หายไปเมื่อกดจุดต่างๆ (ซึ่งอาจดูเหมือนรอยช้ำเล็กๆ).
การหายใจ
ไปพบแพทย์ทันทีหาก:
- ผู้ป่วยทุกช่วงวัยมีปัญหาในการหายใจ (ที่ไม่ได้เกิดจากอาการคัดจมูก)
- ผู้ป่วยหายใจเร็วหรือช้ากว่าปกติมาก หรือบริเวณริมฝีปาก มือ หรือเท้าเป็นสีเขียวคล้ำ
สภาพทั่วไป
ไปพบแพทย์ทันทีหาก:
- ผู้ป่วยทุกช่วงวัยตื่นยาก ตื่นตัวยาก หรือสับสนหงุดหงิด หรือกระสับกระส่ายมากกว่าปกติ มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงไม่หาย คอแข็ง มีรอยด่างหรือผิวซีดมาก หรือรู้สึกว่าตัวเย็นเมื่อสัมผัส
- ผู้ป่วยมีสัญญาณของอาการขาดน้ำ ได้แก่ ผิวแห้ง ปากแห้ง มีรอยบุ๋ม (ที่กระหม่อม) ในทารก หรือมีปัสสาวะน้อยมาก
อาการอื่นๆ ที่ต้องไปพบแพทย์ทันทีได้แก่:
หากผู้ป่วยกลืนลำบากหรืน้ำลายไหลมากเกินไป
หากผู้ป่วยทุกช่วงวัยมีอาการแขนขาอ่อนแรง
ข้อมูลนี้ให้ไว้เพื่อใช้อ้างอิงเท่านั้น คุณต้องใช้ความรู้และวิจารณญาณของตนเองตลอดเวลาว่าคุณจำเป็นต้องพูดคุยกับแพทย์ พยาบาล หรือผู้ประกอบวิชาชีพพยาบาลหรือไม่
ใน Alberta คุณสามารถโทรไปที่ Health Link (โทร 811) หากคุณต้องการคำแนะนำหรือไม่แน่ใจเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด
การดื้อยาปฏิชีวนะ
การดื้อยาปฏิชีวนะคืออะไร
- การใช้ยาปฏิชีวนะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ถูกหรือผิดก็สามารถนำไปสู่การดื้อยาปฏิชีวนะได้ เพื่อจำกัดการพัฒนาของการดื้อยาปฏิชีวนะ ควรใช้ยาปฏิชีวนะเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น
- การดื้อยาปฏิชีวนะเป็นกลไกการป้องกันของแบคทีเรียซึ่งช่วยให้พวกมันสามารถอยู่รอดและเพิ่มจำนวนได้ แม้ว่าเราจะใช้ยาปฏิชีวนะอยู่ก็ตาม แบทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะบาครั้งเรียกว่า “เชื้อดื้อยา (superbugs)”
- เมื่อเชื้อแบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะ ยาปฏิชีวนะที่เคยใช้ในอดีตจะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป
- การรักษาการติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะนั้นทำได้ย้าก และบางครั้งก็รักษาไม่ได้ซึ่งอาจส่งผลให้อาการเจ็บป่วยกินเวลานานขึ้นและอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
- โปรดจำไว้ว่าสิ่งที่ดื้อยาคือแบคทีเรีย ไม่ใช่คุณ! แม้แต่คนที่มีสุขภาพดีมากที่ไม่เคยรับประทานยาปฏิชีวนะก็สามารถติดเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะจากแหล่งอื่นได้
ยาปฏิชีวนะไม่ได้ช่วยรักษาอาการที่ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส เช่น หวัด ไข้หวัดใหญ่ และหลอดลมอักเสบ (โรคหวัดลงปอด) การใช้ยาปฏิชีวนะสำหรับการติดเชื้อเหล่านี้สามารถนำไปสู่การดื้อยาปฏิชีวนะได้
คุณควรปฏิบัติอย่างไร?
- อย่าคาดหวังว่าจะได้รับยาปฏิชีวนะเมื่อคุณหรือบุตรหลานของคุณเป็นหวัดหรือไอ การติดเชื้อเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากไวรัส และยาปฏิชีวนะก็ไม่ได้ช่วยให้อาการดีขึ้
- ปรึกษากับแพทย์ว่าการติดเชื้อของคุณเกิดจากไวรัส หรือแบคทีเรีย และจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะหรือไม่
- พยายามอดทนเมื่อคุณ (หรือบุตรหลาน) มีอาการเป็นหวัด ไอ หรือเจ็บคอ อาการป่วยจากไวรัสส่วนใหญ่จะใช้เวลา 4-5 วันก่อนอาการจะดีขึ้นและใช้เวลาถึง 3 สัปดาห์ในการฟื้นตัวเต็มที่
- ในช่วงฤดูหนาวหรือฤดูไข้หวัดใหญ่ ควรล้างมือบ่อยๆ เพื่อป้องกันเชื้อโรคปฏิบัติตามคำแนะนำในการล้างมือโดยละเอียดของเราในหน้าถัดไป
หลีกเลี่ยงการติดเชื้อที่ดื้อยา
ใช้ยาปฏิชีวนะอย่างชาญฉลาด
วิธีล้างมือ
การล้างมือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหยุดการแพร่กระจายของเชื้อโรค
80% ของการติดเชื้อทั่วไปสามารถแพร่กระจายได้จากมือสัมผัส
ควรล้างมือเมื่อใด:
- ก่อนรับประทานอาหาร
- ก่อน ระหว่าง และหลังการเตรียมอาหาร
- ก่อนให้นมบุตร
- หลังจากใช้ห้องน้ำหรือช่วยเหลือเด็กให้ใช้ห้องน้ำ
- ก่อนและหลังเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือผลิตภัณฑ์สุ์ขอนามัยสตรี
- หลังจากสั่งน้ำมูกหรือเช็ดจมูกให้เด็ก
- หลังจากสัมผัสสิ่งของที่ใช้ร่วมกับผู้อื่น
- ก่อนใส่หรือถอดคอนแทคเลนส์
- ก่อนและหลังดูแลผู้ป่วย
- หลังจากสัมผัสหรือให้อาหารสัตว์ หรือจัดการมูลสัตว์
- ก่อนและหลังการใช้ไหมขัดฟัน
วิธีล้างมือ:
- ใช้สบู่และน้ำการล้างด้วยน้ำเพียงอย่างเดียวไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคได้
- ล้างมือให้เปียก
- ใช้สบู่ธรรมดา อย่าใช้สบู่ต้านเชื้อแบคทีเรีย
- ถูสบู่ที่มืออย่างน้อย 20 วินาที (หรือจับเวลาโดยการร้องเพลง Twinkle, Twinkle, Little Star (ทวิงเคิล ทวิงเคิล ลิตเติ้ล สตาร์) หนึ่งรอบ) ถูมือทุกส่วนให้ทั่ว ทั้งฝ่ามือ ระหว่างง่ามนิ้ว หัวแม่มือ หลังมือ ข้อมือ ปลายนิ้วและเล็บ
- ล้างมือด้วยน้ำเปล่าให้สะอาดเป็นเวลา 10 วินาที
- เช็ดมือให้แห้งด้วยผ้าสะอาด
สิ่งที่คุณควรปฏิบัติ:
- คาดหวังให้แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล และนักบำบัดล้างมือก่อนที่จะตรวจร่างกายคุณหรือบุตรหลานของคุณ
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีสบู่แบบธรรมดาอยู่ในห้องน้ำโรงเรียนของบุตรหลานและที่ทำงานของคุณ
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสถานดูแลเด็กมีสถานที่ล้างมือสำหรับผู้ใหญ่และเด็ก
- ใช้สบู่แบบธรรมดา สบู่แบบธรรมดาก็ใช้ได้ผลพอๆ กับสบู่ต้านเชื้อแบคทีเรีย ไม่แนะนำให้ใช้สบู่ต้านเชื้อแบคทีเรีย เพราะจทำให้แ้บคทีเรียดื้อยาและไม่ได้ผลดีไปกว่าสบู่แบบธรรมดา
- สอนโดยการทำเป็นตัวอย่าง
ข้อความปฏิเสธความรับผิดชอบ:
เนื้อหานี้มีไว้สำหรับข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และจัดทำขึ้น “ตามที่เป็นอยู่” และ “ตามที่เผยแพร่” แม้ว่าจะมีความพยายามตามสมควรเพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูลแล้ว แต่ Alberta Health Services ไม่ได้ให้การรับรองหรือการรับประกันใดๆ ทั้งโดยชัดแจ้ง้ โดยนัย หรือตามกฎหมาย เกี่ยวกับความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ ความครบถ้วน การบังคับใช้ หรือควาเหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์ เฉพาของข้อมูลดังกล่าว เอกสารนี้ไม่สามารถใช้ทดแทนคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่ผ่านการรับรองได้ Alberta Health Services ขอปฏิเสธความรับผิดชอบทั้งหมดอย่างชัดแจ้งต่อการใช้งานเนื้อหาเหล่านี้ และสำหรับการเรียกร้องการดำเนินการข้อเรียกร้อง หรือการฟ้องร้องใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้งานเนื้อหาดังกล่าว
Do Bugs Need Drugs,
Communicable Disease Control,
Alberta Health Services.
DBND@ahs.ca
www.dobugsneeddrugs.org
© 2022 Alberta Health Services,
Provincial Population & Public Health
ผลงานนี้ได้รับอนุญาตภายใต้ใบอนุญาต Creative Commons Attribution-Non-Commercial-Share Alike 4.0 International หากต้องการดูสำเนาใบอนุญาตนี้ โปรดดู https://creativecommons.org/licenses/by-nc-sa/4.0/. คุณมีอิสระที่จะคัดลอก แจกจ่าย และดัดแปลงงานเพื่อวัตถุประสงค์ที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ ตราบใดที่คุณถือว่างานดังกล่าวเป็นของ Alberta Health Services และปฏิบัติตามข้อกำหนดสิทธิ์การใช้งานอื่นๆ หากคุณแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือต่อยอดผลงานจากงานนี้ คุณสามารถเผยแพร่ผลงานเหล่านั้นได้ภายใต้ลิขสิทธิ์เดียวกัน ที่คล้ายกัน หรือที่เข้ากันได้เท่านั้น ใบอนุญาตนี้ไม่ได้บังคับใช้กับเครื่องหมายการค้า โลโก้หรือเนื้อหาของ AHS ซึ่ง Alberta Health Services ไม่ได้เป็นเจ้า ของลิขสิทธิ์